อยู่ระหว่างการปรับปรุง...แต่สามารถใช้งานได้
รายการ | รายละเอียด |
---|---|
หลักสูตร | เทคโนโลยีบัณฑิต (หลักสูตร 4 ปี) (ทล. บ.) |
ฉบับปรับปรุง | ปี พ.ศ. 2554 |
รหัสวิชา | MET 482 (หัวข้อพิเศษทางเทคโนโลยีเครื่องกล) |
ชื่อวิชา | การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม (design of industrial machine components) |
กลุ่มวิชา | วิชาเลือกหัวข้อพิเศษทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรม |
หน่วยกิต(ทฤษฎี-ปฏิบัติ-ศึกษาด้วยตนเอง) | 3(2-2-6) |
วิชาที่ต้องเรียนมาก่อน | ไม่มี |
ภาคการศึกษา/ปีการศึกษา | ภาคการศึกษาที่ 1 / ปีการศึกษา 2561 |
วัน เวลา และสถานที่เรียน | อังคาร 13.30 - 17.20 น. ห้องเรียน : CB 30407 หรือห้องกระจก หรือห้องคอมพิวเตอร์ |
วันเวลาให้คำปรึกษา | ตามนัด |
ประมวลรายวิชา (แผนการสอน-มคอ.3) | อยู่ระหว่างการจัดทำ |
>> เป้าหมายของรายวิชา
รายวิชานี้มีเป้าหมายให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิม (prior knowledge applying) ในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรมภาคสถิตศาสตร์และพลศาสตร์ และกลศาสตร์ของแข็ง และให้ผู้เรียนได้มาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ (knowledge acquiring) เกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล กลไกความเสียหายของวัสดุภายใต้สภาวะภาระภายนอกคงที่และแปรเปลี่ยน การวิเคราะห์และการออกแบบที่ปลอดภัยของชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทั่วไป รวมทั้งให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะดังนี้
- การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) : การแปลความ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผลในแนวคิดต่าง ๆ เพื่อนำมาซึ่งข้อสรุปหรือทางออกที่เหมาะสม
- การเรียนรู้ด้วยการชี้นำตนเอง (self-directed learning) : การริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นอัตโนมัติโดยระบุเป้าหมาย กำหนดกลยุทธ์ เลือกกระบวนการ ค้นคว้าแหล่งทรัพยากร นำไปปฏิบัติให้เกิดผล ประเมินและสะท้อนอย่างสม่ำเสมอเพื่อความก้าวหน้าของตน
- การสื่อสาร (communication) : การนำเสนอหรือการแลกเปลี่ยนสารสนเทศและแนวคิดต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิผลด้วยวิธีการเขียน การแสองออกทางวาจา การวาดภาพหรือกราฟิกที่เหมาะสม
>> แนะนำรายวิชา
เครื่องจักรกลถูกออกแบบและสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนที่หลากหลายซึ่งทำงานร่วมกันอย่างสัมพันธ์กันเพื่อจุดประสงค์ของการส่งผ่านแรงและพลังงาน รายวิชานี้เป็นรายวิชาประยุกต์เชิงลึก (in-depth application) ที่หลอมรวมองค์ความรู้พื้นฐานสำคัญในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรมทั้งสถิตศาสตร์และพลศาสตร์ และกลศาสตร์ของแข็งเพื่อประยุกต์ใช้ในการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลในทางปฏิบัติ เครื่องจักรกลต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตของเรา เครื่องจักรกลเหล่านี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งได้รับภาระหรือแรงกระทำต่าง ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นชิ้นส่วนเหล่านี้จึงต้องได้รับการออกแบบอย่างดีและเหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายและใช้งานได้อย่างปลอดภัยซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ เช่น วิศวกร ช่างผู้ปฏิบัติงาน และผู้ถ่ายทอดความรู้ที่จะต้องตระหนักรู้และให้ความสำคัญ
ในรายวิชานี้ ผู้เรียนจะเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ในการวิเคราะห์อย่างเข้มข้นเพื่อการทำนายและยืนยันผลการออกแบบ (design performance) ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการใช้งานและความปลอดภัย ผู้เรียนจะได้ทบทวนความเข้าใจความรู้หลักการสำคัญในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรมทั้งสถิตศาสตร์และพลศาสตร์ และกลศาสตร์ของแข็ง และสมบัติสำคัญเกี่ยวกับการออกแบบ เช่น ความเค้น ความเครียด ความต้านแรง การเปลี่ยนรูป ฯลฯ จากนั้นผู้เรียนประยุกต์ใช้สมบัติเหล่านั้นในการออกแบบตามหลักการเชิงวิเคราะห์ (analysis) ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบยืนยันค่าความปลอดภัยและหลักการเชิงสังเคราะห์ (synthesis) ที่มุ่งเน้นการเลือกใช้วัสดุและการระบุขนาดของชิ้นส่วนผ่านทฤษฎีความเสียหาย (theories of failure) ตามภาระที่กระทำต่อวัตถุทั้งแบบภาระสถิตและภาระแปรเปลี่ยน (static and variable loading) ตามสภาพการใช้งานของเครื่องจักรกลหรือชิ้นส่วนในเครื่องจักรกล
การนำเสนอรายละเอียดวิชาได้รับการจัดเรียงเป็นลำดับโดยเริ่มจากการฉายภาพใหญ่ของสาระศาสตร์กลศาสตร์ของแข็ง รายวิชาสถิตศาสตร์ พลศาสตร์ กลศาสตร์ของวัสดุ และวิเคราะห์ลงลึกไปจนถึงการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลสำคัญ (key elements) โดยอาศัยหลักการสำคัญในรายวิชาเหล่านั้นและทฤษฎีความเสียหาย รายวิชานี้เป็นรายวิชาบรรยาย 2 ชั่วโมง ปฏิบัติ 2 ชั่วโมง และศึกษาด้วยตนเอง 6 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ ผู้เรียนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และต้องเข้าชั้นเรียนไม่น้อยกว่า 60 ชั่วโมง
รายวิชานี้มีแนวคิดหลัก (Big Ideas/Enduring Understanding) อยู่ 3 ประการ ซึ่งผู้เรียนต้องจดจำให้ขึ้นใจและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ตลอดการเรียนรู้ แนวคิดหลักนี้เป็นสาระที่ถือกลับไปได้ (take away contents) ซึ่งมี 3 ประการ ดังนี้
- การออกแบบเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการวางแผนและตัดสินใจสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงทางกายภาพเพื่อตอบสนองต่อความความต้องการของมนุษย์
- การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลประกอบด้วยสามเส้นทางหลัก คือ การออกแบบเพื่อความต้านแรงหรือไม่ให้แตกหัก การออกแบบเพื่อความแกร่งหรือไม่ให้โก่งงอมากเกินไป และการออกแบบเพื่อเสถียรภาพ
- การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลเพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัยต้องคำนึงถึงภาระที่มากระทำ ความเค้น การเปลี่ยนรูป รูปร่าง และวัสดุ
นอกเหนือจากความเข้าใจที่คงทน/สำคัญแล้ว รายวิชานี้ยังมีคำถามสำคัญ (Big Questions) ที่จะช่วยนำทางการเรียนรู้ คือ
- ความต้องการของมนุษย์ส่งผลอย่างไรต่อแนวทางการทำงานของผู้ออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล?
- ผู้ออกแบบคิดและออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลอย่างไร?
- ผู้ออกแบบรู้หรือตัดสินได้อย่างไรว่าชิ้นส่วนที่ได้ออกแบบไว้นั้นมีความเหมาะสมและสามารถทำงานได้?
>> รายละเอียดวิชา
ตามรายละเอียดวิชาด้านบน ผู้เรียนจะศึกษาในหัวข้อเรื่องต่อไปนี้
- เส้นทางกลศาสตร์วิศวกรรม : วิทยาการด้านกลศาสตร์วิศกรรมโดยเฉพาะสาขากลศาสตร์ของแข็ง (Mechanics of Solids) เช่น ความสัมพันธ์ในมิติของบทบาท หน้าที่ และสมมติฐานเบื้องหลังระหว่างรายวิชา สถิตศาสตร์ (Statics) พลศาสตร์ (Dynamics) กลศาสตร์วัสดุ (Mechanics of Materials) และทฤษฎีสภาพยืดหยุ่น (Theory of Elasticity)
- ตรรกะศาสตร์ของกลศาสตร์ในวิศวกรรม สาขากลศาสตร์ของแข็ง : ความสัมพันธ์เชิงตรรกะระหว่างหลักสำคัญในการได้มาซึ่งสูตรต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อการคำนวณในกลศาสตร์วิศวกรรมด้านวัสดุ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างภาระภายนอกกับภาระภายในโดยอาศัยการสมดุลสถิต, การสมมูลสถิต, ความสัมพันธ์ระหว่างภาระภายในกับความเค้นโดยใช้สูตรความเค้นพื้นฐาน, ความสัมพันธ์ระหว่างภาระภายนอกกับการเปลี่ยนรูปโดยอาศัยสูตรการโก่ง รวมไปถึงแนวทางการประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล
- แนวคิดการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล : การออกแบบทางวิศวกรรม การออกแบบทางกล และการออกแบบชิ้นส่วนทางกลหรือเครื่องจักรกล และการทบทวนเนื้อหาสำคัญในศาสตร์สาขากลศาสตร์ของแข็ง
- วัสดุและการเลือกใช้ : ประเภทของวัสดุ การทดสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติสำคัญของวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล คือ สมบัติทางกลและทางรูปร่าง และการเลือกใช้
- ทฤษฎีความเสียหาย : ทฤษฎีความเสียหายสำหรับปัญหาภาระสถิต (static loads) และภาระแปรเปลี่ยน (variable loads)
- มาตรฐานและรหัสที่เกี่ยวข้อง : AISI, ASTM, ASME, DIN, JIS, TIS
- การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลสำคัญ : การออกแบบเพลาและชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่อง การเลือกใช้รองลื่นแบบลูกปืน การออกแบบและเลือกใช้ชิ้นส่วนเพื่อการยึดแบบชั่วคราวและถาวร (ทั้งนี้ที่เกี่ยวข้องกับงานอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ)
>> วัตถุประสงค์รายวิชา
หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนในรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะ
- รู้และเข้าใจเส้นทางกลศาสตร์วิศวกรรมและตรรกะศาสตร์ของกลศาสตร์ในวิศวกรรม
- รู้และเข้าใจแนวคิดสำคัญของการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานและรหัส
- ใช้คำศัพท์ มโนทัศน์ และประยุกต์หลักการและวิธีการต่าง ๆ เพื่อออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลสำคัญบนฐานของเส้นทางการออกแบบทั้งสามพร้อมเลือกใช้วัสดุทางวิศวกรรมด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม
- แสดงการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการเรียนรู้ด้วยการชี้นำตนเองเพื่อพัฒนามุมมองใหม่ ๆ บนรากฐานที่สมเหตุผลในประเด็นที่ผู้เรียนสนใจภายใต้รายละเอียดของวิชา
- สื่อสารสาระสำคัญของการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเขียน การนำเสนอ หรือการสนทนาเชิงวิชาการ (academic discussion)
- แสดงพฤติกรรมของการเป็นมืออาชีพและที่สะท้อนอุปนิสัยจิต (habits of mind)
เป้าหมายของการศึกษา คือ การที่ผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์ทางการศึกษาหลังจากผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหลักสูตร รายวิชานี้มีผลลัพธ์ทางการศึกษา 5 ด้าน ที่ผู้เรียนต้องแสดงให้เห็นว่าตนมีความสามารถและสมรรถนะต่าง ๆ ตามที่กำหนด และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 : ปัจจัยที่แสดงถึงความสำเร็จทางวิชาการ (academic achievement factors)
>> ผลการเรียนรู้รายวิชา (course learning outcomes - CLOs)* - สอดคล้องกับหัวข้อเรื่องและวัตถุประสงค์
หลังจากผู้เรียนสำเร็จรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์รายวิชาข้างต้น โดยเมื่อ/หลังจากผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ผู้เรียนจะสามารถ...
- CLO1: อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง (explain the relationship between) สาระต่าง ๆ ของศาสตร์กลศาสตร์ในวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ตามแผนที่/ผังที่กำหนดให้ คือ 1) สาขา/รายวิชาในกลศาสตร์ในวิศวกรรม และ 2) ตรรกะศาสตร์ของกลศาสตร์ในวิศวกรรม สาขากลศาสตร์ของแข็ง
- CLO2: อธิบาย (explain) สาระสำคัญของแนวคิดการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล คือ 1) เส้นทางการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล และ 2) ทางเลือกการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล ได้อย่างถูกต้อง
- CLO3: อธิบาย (explain) ความแตกต่างระหว่างแนวคิด หลักการ และเงื่อนไขสำคัญของทฤษฎีความเสียหาย (failure theories) ได้อย่างถูกต้อง
- CLO4: แสดง/เขียน (show/write) ขั้นตอนการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทั้งแบบภาระสถิตและภาระแปรเปลี่ยนในรูปของกราฟิกที่เหมาะสม
- CLO5: วิเคราะห์ (analyze) และแก้ปัญหา (solve) การออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลสำคัญตามที่กำหนดให้โดยอาศัยมโนทัศน์ กฎและหลักการทางสถิตศาสตร์ พลศาสตร์ กลศาสตร์ของวัสดุ และทฤษฎีความเสียหาย บนพื้นฐานของเส้นทางการออกแบบ ทางเลือกการออกแบบ มาตรฐาน รหัส และค่าความปลอดภัยได้ถูกต้องและเหมาะสม
- CLO6: ใช้ (use) โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อช่วยออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลตามที่กำหนดให้และแปลความ (interpret) ผลลัพธ์ที่ได้เปรียบเทียบกับหลักการและทฤษฎีความเสียหายที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
* ผลการเรียนรู้ตอบสนองต่อ FIET-Student QF และผลการเรียนรู้ระดับหลักสูตร (PLOs) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นตามอนุกรมวิธานแห่งการเรียนรู้ของมาร์ซาโนและแคนดอลล์
>> ทักษะการคิดและทักษะการปฏิบัติ (thinking skill & practicing skill)
หลังจากผู้เรียนสำเร็จรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะสามารถใช้ทักษะทางปัญญา (cognitive skill) โดยสืบค้น (investigation) เพื่อระบุสิ่งที่ตนรู้และนำเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ชัดเจนสำหรับขจัดข้อสงสัยหรือสิ่งที่ตนยังไม่รู้ในประเด็นหรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ เกี่ยวกับแนวคิดและรายละเอียดการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล
>> ทักษะการสื่อสาร (communication skill)
หลังจากผู้เรียนสำเร็จรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะสามารถสื่อสารสารสนเทศเชิงเทคนิค (communicate technical information) เพื่อถ่ายทอดความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและรายละเอียดการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทั้งแบบเขียนและแบบวาจาได้อย่างชัดเจนและเหมาะสมกับผู้รับสารทั้งที่อยู่ในและนอกสาขา (techies & non-techies) โดยใช้วัสดุประกอบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มที่ 2 : ปัจจัยที่ส่งเสริมความสำเร็จทางวิชาการ (non-academic achievement factors)
>> อุปนิสัยจิตแห่งการเรียนรู้ (learning habits of mind)
หลังจากผู้เรียนสำเร็จรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะแสดงให้เห็น (demonstrate)
- การเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง (self-directed/regulated learning) โดยการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ เลือกกระบวนการ วิธีการ ค้นคว้าแหล่งทรัพยากร นำไปปฏิบัติให้เกิดผลประเมิน และสะท้อนคิดตนเอง (self-reflection) อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของรายวิชาและสมรรถนะทางวิชาชีพ
- การริเริ่ม (initiative) สิ่งใหม่ ๆ พร้อมอยากรู้และค้นหาแนวคิดจากประสบการณ์ใหม่รวมทั้งนำไปปฏิบัติบนพื้นฐานของการคิดบวก
>> อุปนิสัยจิตแห่งการทำงาน (work habits of mind)
หลังจากผู้เรียนสำเร็จรายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนจะแสดงให้เห็น (demonstrate)
- การมีความมุมานะพยายาม (effort) ในการตอบสนองหรือมีส่วนร่วม (participation) ในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทั้งกิจกรรมที่จัดโดยผู้สอนหรือจัดโดยเพื่อนผู้เรียนด้วยกัน และในการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผล (work completion) สำเร็จตามที่คาดหวังด้วยแนวทางและวิธีการที่เหมาะสม
- พฤติกรรมเชิงวิชาการ (academic behavior) ในการประพฤติปฏิบัติตนตามกฏหรือข้อกำหนด (following rules/terms) ทั้งที่ระบุไว้อย่างชัดเจนและที่ไม่ได้ระบุทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความเรียบร้อยและดีงามของตนเองและส่วนรวม
- การเข้าชั้นเรียน (attendance) ในการมาเข้าชั้นเรียน (coming to class) อย่างสม่ำเสมอด้วยความเต็มใจและพร้อมเรียนรู้ และในการมาเข้าชั้นเรียนก่อนหรือตรงเวลา (punctuality) ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หรือปัจจัยสำคัญของการเป็นมืออาชีพในวิชาชีพ
- การประเมินเป็นไปเสริมแรงและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
- การประเมินจะเป็นไปอย่างเข้มข้น ชัดเจน และเป็นธรรมอันจะนำไปสู่การระบุความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคนการประเมินจะเป็นไปอย่างเข้มข้น ชัดเจน และเป็นธรรมอันจะนำไปสู่การระบุความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน
- การประเมินต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถหรือสิ่งที่ได้เรียนรู้ และได้รับโอกาสการพัฒนาตนเองผ่านความคิดเห็นป้อนกลับ (feedback)
- การประเมินต้องคงไว้ซึ่งมาตรฐานทางวิชาการทั้งรายวิชา หลักสูตร และเป้าหมายของการศึกษา
- การรายงานผลการประเมิน (assessment report) ต้องแยกระหว่างความสามารถหรือทักษะทางปัญญา (cognitive skills/abilities) กับอุปนิสัยจิต (habits) แห่งการเรียนรู้ (learning) การทำงาน (working) และการรู้คิดในตน (Meta-cognition)
- ผลการประเมินผลลัพธ์ทางการศึกษา กลุ่มที่ 1 : ปัจจัยที่แสดงถึงความสำเร็จทางวิชาการ เท่านั้นที่ควรนำเข้าสู่กระบวนการคิดเกรด (grading)
- รายวิชานี้จะประเมินความสามารถของผู้เรียนตามกลุ่มที่ 1 : ปัจจัยที่แสดงถึงความสำเร็จทางวิชาการ ซึ่งประกอบด้วยผลลัพธ์การเรียนรู้ (CLOs) ทักษะการคิดและการปฏิบัติ และทักษะการสื่อสารซึ่งแสดงถึงความสามารถหรือทักษะทางปัญญา โดยยึดหลักตามเส้นโค้งการเรียนรู้แบบกำลัง (learning curve by power law)
- ผู้เรียนแต่ละบุคคลสามารถรับการประเมินได้ในช่วงการประเมิน (assessment period) ทั้งนี้ต้องไม่น้อยกว่า 3 ครั้งในแต่ละผลลัพธ์การเรียนรู้ ตามที่กำหนดไว้ในแบบบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนรู้ผู้เรียนแต่ละบุคคลสามารถรับการประเมินได้ในช่วงการประเมิน (assessment period) ทั้งนี้ต้องไม่น้อยกว่า 3 ครั้งในแต่ละผลลัพธ์การเรียนรู้ ตามที่กำหนดไว้ในแบบบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เครื่องมือประเมินประกอบด้วยแบบทดสอบ (test) และผลงาน (product) ที่แสดงถึงความสามารถหรือทักษะซึ่งจะสอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้
- การประเมินผลลัพธ์ทางการศึกษา กลุ่มที่ 2 : ปัจจัยที่ส่งเสริมความสำเร็จทางวิชาการ จะมีเป็นระยะ ๆ แต่จะไม่นำมาคิดคำนวณเกรดตามหลักการประเมิน (ทั้งนี้อาจนำไปคิดเกรดได้โดยขึ้นกับข้อตกลงร่วมระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน)
>> แบบประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้
>> หลักฐานการเรียนรู้และเครื่องมือประเมิน
การประเมินการบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ CLO1, CLO2, CLO3, CLO4 และ CLO5 จะอาศัยการสอบโดยแบบทดสอบที่ใช้จะมีลักษณะเฉพาะซึ่งได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถบรรลุได้ แบบทดสอบมี 3 ส่วน โดยส่วน A เน้นทดสอบความจำหรือการระลึกรู้ และความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว ส่วน B เน้นการวิเคราะห์ในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว และส่วน C เน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้แล้วในชีวิตจริงหรือบริบทที่มีความหมาย หัวใจสำคัญของการตรวจแบบทดสอบนี้คือ ท่านแสดงความเข้าใจในแก่นวิทยาการหรือสาระวิชา และความสามารถในการประยุกต์ใช้ที่แสดงถึงความสอดคล้องกับโจทย์หรือข้อคำถาม ซึ่งมีลักษณะเบื้องต้นดังนี้
- ข้อสอบในส่วน A ให้ผู้เรียนเลือกคำตอบ (selected response) ที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดกับข้อคำถามจากรายการที่กำหนดให้ ซึ่งอาจจะเป็นแบบถูก/ผิด (true/false question) แบบหลายตัวเลือก (multiple choice question) การจับคู่ (matching question) หรือแบบเติมคำลงในช่องว่าง (fill-in-the-blank question)
- ข้อสอบในส่วน B ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบ (written response) แบบสั้นหรือย่อ (short constructed items) แบบยาวหรือขยาย (extended constructed items) หรือแสดงวิธีทำ (problem-solving) ที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดกับข้อคำถาม
- ข้อสอบในส่วน C ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบ (written response) หรือแสดงวิธีทำ (problem-solving) ที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดกับข้อคำถาม เช่นเดียวกับข้อสอบในส่วน B อย่างไรก็ตามพึงระลึกไว้ว่า ข้อสอบในส่วน C นี้จะเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้แล้วในชีวิตจริงหรือบริบทที่มีความหมาย
ในการประเมินเพื่อระบุว่าผู้เรียนมีความสามารถอยู่ในระดับใดในการตอบแต่ละข้อ (โดยเฉพาะข้อสอบส่วน C) ซึ่งสัมพันธ์กับผลลัพธ์การเรียนรู้นั้น ผู้สอนจะใช้สัญลักษณ์ 4 ลักษณะ ดังนี้
- เมื่อคำตอบถูกต้องโดยสมบูรณ์ (totally Correct) ใช้สัญลักษณ์ Ⓒ
- เมื่อคำตอบถูกต้องเป็นส่วนมาก (High partial correct) ใช้สัญลักษณ์ Ⓗ
- เมื่อคำตอบถูกต้องเป็นส่วนน้อย (Low partial correct) ใช้สัญลักษณ์ Ⓛ
- เมื่อคำตอบไม่ถูกต้องหรือไม่มีคำตอบ (Incorrect) ใช้สัญลักษณ์ Ⓘ
ตารางด้านล่างแสดงวิธีการตรวจแบบทดสอบหรือการกำหนดระดับ (scoring pattern) ที่เกิดจาการตอบสนองหรือตอบคำถามในแบบทดสอบ ทั้งนี้กรณีที่ในแบบทดสอบมีข้อย่อยที่วัด CLO แต่ละข้อนั้นรูปแบบการตรวจจะแตกต่างออกไป
ช่วงระดับคะแนน | เกรด (ตัวเลข) | เกรด (อักษร) | ระดับความสามารถ | ความหมายทั่วไป |
---|---|---|---|---|
3.65-4.00 | 4.0 | A | เป็นตัวอย่าง/ก้าวล้ำนำหน้า (Exemplary/Advanced) | ดีเยี่ยม (excellent, wow) |
3.29-3.64 | 3.5 | B+ | ดีมาก (very good, great) | |
2.93-3.28 | 3.0 | B | บรรลุ/ชำนาญ/ได้มาตรฐาน (Accomplished/Proficient/Standard) |
ดี (good) |
2.57-2.92 | 2.5 | C+ | ค่อนข้างดี (above average) | |
2.21-2.56 | 2.0 | C | พัฒนา/พื้นฐาน (Developing/Basic) | พอใช้ (average) |
1.85-2.20 | 1.5 | D+ | อ่อน (below average) | |
1.49-1.84 | 1.0 | D | เริ่มต้น/ต่ำกว่าพื้นฐาน (Beginning/Below Basic) |
อ่อนมาก (poor) |
0.00-1.48 | 0.0 | F | ไม่ผ่าน (unsatisfied, unfulfilled) |
- การบรรลุผลสำเร็จรายบุคคล (individual minimum achievement) : โดยอาศัยเครื่องมือประเมินและหลักฐานการเรียนรู้ รายวิชาจะบรรลุความสำเร็จ เมื่อในด้านความเข้าใจและทักษะ (knowledge and skills) ผู้เรียนทุกคนต้องอยู่ในระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ ‘บรรลุ’ (accomplished) (ระดับ 3.00) ขึ้นไป และในด้านผลการปฏิบัติงาน (performance) ผู้เรียนทุกคนต้องอยู่ระดับความสามารถ ‘บรรลุตามที่คาดหวัง’ (meet expectation) (ระดับ 3.00) ขึ้นไป
- การบรรลุผลสำเร็จของชั้นเรียน (target class achievement) : ผู้เรียนร้อยละ 75 ขึ้นไปมีระดับผลสัมฤทธิ์ ‘ชำนาญหรือบรรลุตามที่คาดหวัง - Pr’ (ระดับคุณภาพ 2.93 - 3.28) หรือได้รับเกรด ‘B’ ขึ้นไป
ลำดับ | เอกสารประกอบ | สาระสำคัญ |
---|---|---|
1) | Concept of Mechanics | อธิบายภาพรวมเกี่ยวกับหลักตรรกะในกลศาสตร์วัสดุอันดับ 2 - 6 (บางส่วน) |
2) | สรุปสาระสำคัญ | อธิบายภาพรวมเกี่ยวกับการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล |
2) | 1 - IntroDesign | อธิบายเกี่ยวกับหลักตรรกะในกลศาสตร์วัสดุและแนวคิดรวบยอดในการออกแบบชิ้นส่วนทางกล |
3) | 2 - BasicStressesEquation | อธิบายเกี่ยวกับสมการความเค้นพื้นฐาน |
4) | 3 - Materials | อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของวัสดุที่สำคัญและการทดสอบ |
5) | 4 - GeometricShape | อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของหน้าตัดที่เป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณหาความเค้นพื้นฐาน |
6) | 5 - Deformation | อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยรูปและปัจจัยที่ส่ผลต่อการเปลี่ยนรูป |
7) | 6 - Failure Theory for Static Stresses | อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีความเสียหายเพื่อการออกแบบสำหรับภาระสถิต |
8) | PositionAnalysis | อธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตำแหน่งของกลไก |
9) | VelocityAnalysis | อธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความเร็วของกลไก |
10) | AccelerationAnalysis | อธิบายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความเร่งของกลไก |
- J.S. Shigley, C.R. Mischke, and R.G. Budynas, 2008, Mechanical Engineering Design, 8th ed., New York, McGraw-Hill.
- H.H. Mabie, and C.F. Reinholtz, 1987, Mechanisms and Dynamics of Machinery, 4th ed., New York, John Wiley & Sons.
- V.B. Bhandari, 2013, Introduction to Machine Design, 2nd ed., New Delhi, McGraw-Hill.
- R. Moot, 2007, Applied Strength of Materials, 5th ed., Florida, CRC Press.
ลำดับ | เอกสารประกอบ | ประโยชน์ |
---|---|---|
1) | Engineering Mechanics: Scope (โดย varun teja G.V.V จาก Slideshare) | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดรวบยอด (concept) ของกลศาสตร์วิศวกรรมในภาพรวม |
2) | Key points in Mechanics of Materials | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้กลศาสตร์ของวัสดุ |
3) | Kinematics | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดรวบยอดของจลนศาสตร์ |
4) | Failures Resulting from Static Loading | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดรวบยอดของการวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วนทางกลภายใต้ภาระสถิต |
5) | Failures Resulting from Variable Loading | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดรวบยอดของการวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วนทางกลภายใต้ภาระแปรเปลี่ยน |
6) | PlaneStressPlaneStrain | ใช้เป็นแนวทางการวิเคราะห์สภาพปัญหาความเค้นระนาบและปัญหาความเครียดระนาบ |
7) | AMD3_CombinedStress&Failure (เอกสารจาก ม.สุรนารี) | ใช้เป็นแนวทางการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดรวบยอดของการวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วนทางกลภายใต้ภาระสถิต (เช่นเดียวกับเอกสารลำดับที่ 4) |
ลำดับ | เอกสารประกอบ | ประโยชน์ |
---|---|---|
1) | 3a | MSE203 Pressure Vessels (vdo@youtube คลิ๊กขวาเพื่อเปิดหน้าต่างใหม่) | ใช้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ความเค้นในภาชนะภายใต้ความดันภายใน |
2) | Static Strength Analysis | ใช้เป็นตัวอย่างการคำนวณเพื่อการออกแบบเชิงวิเคราะห์สำหรับภาระสถิตด้วยทฤษฎีความเสียหายต่าง ๆ |